[Review] แต่ก่อน 144Hz อาจมากพอสำหรับเกมเมอร์หลาย ๆ คนแล้ว แต่ปัจจุบันมีจอ 240Hz วางขายกันเกลื่อน หากไปเจอผู้เล่นเกมแนว FPS ที่ใช้จอระดับนั้น ก็อาจเสียเปรียบได้ เพราะงั้นไปจอระดับ 320Hz กันเลยดีกว่า วันนี้พบกับ Viewsonic XG275D1-4K จอ Monitor เกมมิ่ง IPS 4K ตัวโหด มาพร้อม Dual Mode ที่สลับใช้งานได้ระหว่าง 4K/160Hz หรือ FHD/320Hz ได้ตามถนัด กับเวลาตอบสนองที่รวดเร็วเป็นพิเศษเพียง 0.5 มิลลิวินาที (MPRT) และมีไฟ RGB หลังจอด้วยอีก เอาใจสาย Esports หรือเกมเมอร์สาย “จริงจัง” โดยเฉพาะ ทั้งยังเป็นจอสำหรับทำงานได้ด้วย ที่ปรับแต่งการใช้งานได้หลากหลายในจอเดียว เรียกได้ว่าเป็นจอครบจบทั้งเกมมิ่งและครีเอเตอร์
ฟีเจอร์เด่น Viewsonic XG275D1-4K
- สลับระหว่าง UHD@160Hz เพื่อภาพอันน่าทึ่งหรือ FHD@320Hz เพื่อความเร็วที่น่าทึ่ง
- ลดขนาดลงจาก 27 นิ้วเป็น 24.5 นิ้วที่เน้นเลเซอร์สำหรับการตั้งค่า Esports ที่สร้างมาเพื่อความแม่นยำในการแข่งขัน
- แซงหน้าคู่แข่งด้วยเวลาตอบสนองอันรวดเร็วถึง 0.5 มิลลิวินาที (MPRT)
- เพลิดเพลินไปกับการเล่นเกมที่ราบรื่น ไร้การฉีกขาด และไม่มีอาการกระตุกด้วย AMD FreeSync™ Premium และ NVIDIA G-Sync Compatible
- ใช้งานเซสชันของคุณได้อย่างสบายด้วยการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์และซอฟต์แวร์ Eye ProTech
- ปรับปรุงการตั้งค่าของคุณด้วยการเชื่อมต่อที่ยืดหยุ่นเพื่อตอบสนองทุกความต้องการในการเล่นเกมของคุณ
แกะกล่อง
ตัวกล่องมาเป็นสีน้ำเงินเด่นสวยงามมาเลย (ปกติเป็นกล่องลัง) ส่วนอุปกรณ์ภายในก็มีทั้งตัวจอ Viewsonic XG275D1-4K , ชุดไฟเลี้ยง AC/DC Adapter x 1 , สาย HDMI v2.1 x 1 , สาย DisplayPort v1.4 x 1 , สาย USB Type-C x 1 และชุดคู่มือกับใบรับรอง
งานออกแบบ
จุดเด่นที่เห็นอย่างแรกของตัวจอเลยคือ “สะอาดตาและทันสมัย” ถัดมาคือ “ขาตั้ง” คือมาเป็นขาตั้งแบบปรับแนวนอนหรือแนวตั้งได้เลย ทั้งยังออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ช่วยให้ปรับองศาจอได้ตามที่ผู้ใช้ต้องการจริง ๆ และมีความโค้งมนสวยงามทีเดียว สมกับเป็นจอ Monitor เกมมิ่ง
ขาตั้งจอของ Viewsonic XG275D1-4K
ลองดูส่วนข้อต่อที่เชื่อมกับตัวจอแบบชัด ๆ สามารถปรับก้มเงยได้ระดับหนึ่ง
และปรับระดับจอบนล่างได้พอควร โดยปรับความสูงได้สูงสุด 130 มม.
มากพอที่จะหมุนใช้งานแนวตั้งได้สบาย ทั้งรองรับมาตรฐาน VESA ขนาด 75×75 มม. เอาไปใช้กับขาแขวนจอเพื่อยกออกจากโต๊ะได้ตามต้องการ
พอร์ตเชื่อมต่อตัวจอ ก็มีให้ครบครันทีเดียว โดยบเชื่อมต่อได้ทั้ง 3 แบบ อาทิ HDMI , DisplayPort และ USB-C จุดน่าสนใจคือตัว Type-C แบบ 3.2 รองรับการต่อจอและชาร์จไว 65W ด้วย กับมี HDMI ให้สองช่อง (เอาไว้รองรับการ “สลับ” จอด้วย) ถัดมาก็มีช่องหูฟัง 3.5 mm และช่องต่อไฟเลี้ยงแบบ DC Socket
มีช่องสำหรับจัดเก็บสายเชื่อมต่อต่าง ๆ ให้อีก
เอาไปใช้เป็นจอทำงานก็เหมาะ เนื่องด้วยตัวจอเป็น IPS ความละเอียด 4K และมาพร้อมมาตรฐานสีระดับ DCI-P3: 94% กับ RGB: 128% ให้สีสันสมจริงพอตัว
ส่องไฟ RGB
ตัวจอมาพร้อมไฟ RGB ขอบบนด้านหลังสะดุดตา สามารถปรับเปลี่ยนเอฟเฟคเพิ่มเติมได้
หน้าตั้งค่า
ส่วนตัวแอบมองว่า UI เมนูปรับแต่งของตัวจอนั้น ดูธรรมดาไปนิด แต่ถ้าใครชอบแบบสะอาดตาหรือคลีน ก็น่าจะถูกใจกัน ตัวเมนูของ Viewsonic XG275D1-4K ก็มาพร้อมหน้าปรับแต่งหลัก ๆ อย่าง Input ให้เลือกการแสดงผล , Audio Adjust ปรับเสียงลำโพงของตัวจอ , View Mode เลือกโหมดหรือลักษณะการแสดงผล , Color Adjust ปรับแต่งค่าสีของจอ และ Manual Image Adjust ปรับตั้งค่าฟีเจอร์สำคัญของตัวจอ ที่ถือเป็นหน้าปรับแต่งสำคัญเลยตามนี้
ปรับ Blue Light Filter หรือตัวช้วยกรองแสงสีฟ้า ช่วยลดอาการปวดตาและเมื่อยล้าจากการใช้สายตาเป็นเวลานาน โดยผู้ใช้สามารถแต่งได้ตามเหมาะสม
ตัวอย่างปรับค่า Blue Light Filter ที่ 50% ช่วยลดแสงฟ้าไปได้เยอะ แต่การแสดงผลก็ยังดูดีอยู่
Aspect Ratio ปรับการแสดงผลสัดส่วนจอ คือตัวจอ Viewsonic XG275D1-4K มาพร้อมสัดส่วน 16:9 กับขนาดจอ 27 นิ้ว (พื้นที่รับชม 26.9 นิ้ว) ที่หากเกมเมอร์สาย FPS มองว่า 16:9 บนจอ 27 นิ้วดูยาวเกินไป อยากได้แคปกว่านี้ ก็สามารถปรับเป็น 4:3 หรือลดขนาดจอเป็น 24.5 นิ้ว ที่เหมาะสำหรับเกมเมอร์ Esports ก็ได้
ตัวอย่างการปรับเป็น Aspect Ratio เป็นขนาด 24.5 นิ้ว ตัวจอจะเพิ่มขอบดำล้อม ๆ ให้แบบนี้เลย ช่วยให้ผู้เล่น (บางราย) โฟกัสกับเกมได้ดีขึ้น
อีกหนึ่งฟีเจอร์สำคัญคือ Dual Mode หรือการเลือกใช้ 4K/160Hz กับ FHD/320Hz นั้นเอง ซึ่งหากต้องการ Refresh Rate สูง ๆ เอาแบบ 320Hz ไปเลย ก็เลือก “Dual Mode – On” ตัวจอจะปรับความละเอียดเป็น Full HD หรือ 1080p ให้ทันที เพิ่อรองรับความลื่นไหลระดับ 320Hz นี้เอง
เพื่อความลื่นไหลขึ้นไปอีก ก็สามารถปรับ Response Time คือปรับความเร็วตอบสนองของเม็ดสีพิกเซลให้เป็น Ultra Fast ได้ ซึ่งปรับให้เร็วได้ถึง 0.5ms (MPRT) กันเลย
ลองดูในส่วน View Mode กันหน่อย ก็มีค่าตั้งค่า (สำเร็จรูป) มาให้เลือกถึง 7 แบบ โดยโหมด Game ก็มีให้ปรับค่าได้ตามเกมที่เล่นเลย เช่น FPS คือแนวยิงบุคคลที่หนึ่ง ที่ช่วยปรับให้มีความสว่างมากขึ้นเป็นพิเศษ จะได้เห็นศัตรูแบบชัด ๆ นี้เอง คือจะปรับแต่งเองผ่านโหมด Custom เลือกการแสดงผลได้ตรงกับที่ต้องการจริง ๆ ก็ยังได้
อนึ่งตัวเมนู ก็มีปุ่มลัดสำหรับตั้งค่า View Mode หรือปรับความสว่างได้ทันที โดยไม่ต้องเข้าเมนูให้เหนื่อยก็ได้
ส่วนปุ่มควบคุม ก็มาเป็น Joy Stick ที่ด้านหลัง กับมีปุ่มสลับจอ ซึ่งหากใครต่อจอทั้ง PC และ PS5 ก็สามารถกดปุ่มเพื่อมสลับการแสดงผลไปมาได้ทันที ไม่ต้องกดเข้าหน้าเมนูเพื่อเลือกตัว HDMI หรือ DisplayPort ให้วุ่นวายนั้นเอง
ทดสอบประสิทธิภาพ 4K 160Hz
ประเดิมด้วยความละเอียดสูงสุดอย่าง 4K กัน ซึ่งรองรับ Refresh Rate ได้ถึง 160Hz สำหรับใครที่เป็นเกมเมอร์สาย “ปรับสด” หรือกดตั้งค่ากราฟฟิกของเกมเป็น Ultra มันทั้งหมด ก็ลองใช้เป็น 4K/160Hz ไปเลย ซึ่งตัวจอ Viewsonic XG275D1-4K ก็ให้การแสดงผลได้สวยคมทีเดียว
ตามสเปกตัวจอก็มาพร้อมพาแนล IPS แบบ Fast ซึ่งให้ช่วงสี DCI-P3 ได้ถึง 94% กับ NTSC 91% และ sRGB 128% พร้อมด้วย HDR10 กับความสว่างที่ 300 cd/m โดยรวมก็บอกได้เลยว่า ใช้ทำงานตัดต่อหรือกราฟฟิกได้ดี แต่ยังไม่สุดเท่าจอ Monitor ที่เป็นสาย Creator จริง ๆ
อนึ่งจอ 4K ก็คือ 4K ยังไงความคมชัดย่อมไม่ธรรมดา
หากเอาไปเล่นเกม 4K แบบไม่ต้องการ Refresh Rate สูงเกิน 144Hz ก็จะได้ชมความสวยคมตอนเล่นเกมกินสเปกได้แบบฟิน ๆ แล้ว
ทดสอบประสิทธิภาพ FHD 320Hz
ต่อไปหากเปิดใช้ Dual Mode เพื่อใช้ความละเอียด Full HD พร้อม Refresh Rate สูงสุด 320 Hz ก็ขอต้อนรับสู่โลกของ Pro Player หรือจริงจังเกมมิ่ง ใครที่อยากรู้ว่าเหล่า Esports เล่นกันยังไง ก็ลองได้ผ่านจอ Viewsonic XG275D1-4K ตัวนี้เลย โดยหากเครื่อง PC สามารถดันค่าเฟรมเรตได้ 300 Hz ก็จะสามารถใช้ประสิทธิภาพของตัวจอได้คุ้ม
สำหรับประสบการณ์ใช้งานจอ 320 Hz เป็นยังไงนั้น ก็ยอมรับเลยว่า “โคตรดี” เอาไปลุยเกมยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่งหรือแนว FPS ยอดนิยมอย่าง CS:GO 2 หรือ Valorant ได้ดีเยี่ยม โดยตัวจอก็สามารถแสดงผลการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลได้ดีทีเดียว ทำให้ได้เปรียบในการเล่นขึ้นมาก โดยเฉพาะหากจอผู้เล่นที่ใช้จอ 144Hz หรือ 240Hz ตัว 320Hz อาจได้ “Headshot” ก่อนก็เป็นได้